Leaders

สังคมสารสนเทศ

ผู้คนจำนวนไม่น้อย พอนึกถึงภาพของสังคมสารสนเทศก็จะเห็นภาพของเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ ไมโครชิพ โทรศัพท์มือถือ เครื่องรับส่งเอกสาร และเครื่องควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์อีกสารพัด ภาพที่เห็นดังกล่าวเป็นเพียงบางส่วนของสังคมสารสนเทศเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง สังคมสารสนเทศเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อย่างเช่นการก่อตัวหรือจัดตั้งสถาบันและองค์กร  รวมถึงความคิดและจิตใจของผู้คนในสังคมด้วย   นับตั้งแต่คลื่นคอนดราทีฟลูกที่หนึ่งถึงลูกที่สี่ ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสังคมอุตสาหกรรมคือการมุ่งค้นหาวัตถุดิบเพื่อนำมาแปรรูป สร้างสายพานลำเลียง ถนนหนทาง และเส้นทางการไหลลื่นของพลังงานให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสังคมอุตสาหกรรมจะวางจุดเน้นหนักที่การผลิตเครื่องจักรเครื่องมือ ตลอดจนให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการผลิตสินค้าทั้งวัตถุและวัสดุภัณฑ์ ส่วนสังคมสารสนเทศเป็นสังคมที่เน้นการค้นหาและนำสิ่งที่ปรากฏเชิงสารสนเทศมาใช้ให้เกิดประสิทธิผล เช่น ข่าวสารข้อมูล ถ้อยคำภาษา แฟ้มภาพ ดนตรี ความรู้ ความคิด ความสัมพันธ์ และยุทธศาสตร์ หากลองเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสังคมอุตสาหกรรมและสังคมสารสนเทศ จะเห็นภาพวิวัฒนาการของสังคมทั้งสองแตกต่างกัน  สังคมอุตสาหกรรมวางเข็มทิศไปที่การพัฒนาโครงสร้างการขนถ่ายสินค้า การลำเลียงวัตถุดิบและพลังงานให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด เช่น โรงงานถลุงเหล็กต้องสร้างอู่ไว้ใกล้ๆ กับแหล่งพลังงาน (ถ่านหิน) เพื่อให้การขนส่งวัตถุดิบมีระยะทางที่สั้นที่สุด โรงงานเคมีตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพื่อลดต้นทุนให้ต่ำ ในสังคมสารสนเทศ คุณลักษณะดังกล่าวไม่มีความหมายอีกต่อไป ด้วยธุรกิจสารสนเทศไม่สนใจเส้นทางการขนส่งวัตถุดิบและพลังงาน แต่สนใจ “ความใกล้ชิด” กับลูกค้าทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ทั้งนี้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์หรือการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลให้กระชับแน่นแฟ้นที่สุด ดังนั้น ปัจจัยชี้ขาดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมจึงอยู่ที่ความสามารถในการจัดการสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์  คุณสมบัติสำคัญที่จะขาดเสียมิได้คือ ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา ความสามารถในการคิดเชิงระบบ และความสามารถในการสื่อสาร […]

สังคมสารสนเทศ Read More »

“เดวิด” ศิลปะกับวิญญาณแห่งยุคสมัย

(1) จุดเริ่มต้นของยุคแสงสว่างแห่งปัญญา ขณะที่มองดูประติมากรรม เดวิด ผมก็นึกถึงบริบททางสังคมที่ก่อกำเนิดประติมากรรมชิ้นเอกนี้ แล้วเกิดคำถามว่า ไมเคิล แองเจโล ต้องการสื่ออะไรผ่านรูปสลักเดวิด ? ผมไปเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งผมจะแวะไปยืนดูรูปสลัก David จำลอง (แต่เหมือนตัวจริงที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์มากๆ) อันเป็นผลงานของไมเคิล แองเจโล อัครศิลปินยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) ร่วมสมัยกับดาร์วินชี่ ผู้วาดภาพโมนาลิซ่า และ มาเคียเวลลี่ ผู้ประพันธ์ The Prince ที่เป็นปรัชญาและวิถี การเมืองแบบอำนาจสุดๆ ขณะที่มองดูประติมากรรมเดวิด ผมก็นึกถึงบริบททางสังคมที่ก่อกำเนิดประติมากรรมชิ้นเอกนี้ แล้วเกิดคำถามว่า ไมเคิล แองเจโล ต้องการสื่ออะไรผ่านรูปสลักเดวิด? เมืองฟลอเรนซ์เป็นจุดเริ่มต้นของยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) หรือที่นักวิชาการไทยแปลว่า ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ค.ศ.1450-1600 ตรงกับช่วงสมัยอยุธยาตอนกลาง ราว พ.ศ. 1993-2093) เป็นยุคสมัยแห่งการบุกเบิกความรู้และความเจริญรุ่งเรืองด้านวัฒนธรรม  เป็นยุคแห่งการค้นพบโลกใหม่  อย่างที่โคลัมบัส เดินทางไปพบทวีปอเมริกาหรือ วาสโก้ เดอกามา แล่นเรืออ้อมแหลมกู้ดโฮป ทวีปแอฟริกา เพื่อบุกเบิกเส้นทางการค้าเครื่องเทศและสินค้าจากเอเชีย ก่อนหน้ายุคศิลปวิทยาการ เป็นยุคที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า

“เดวิด” ศิลปะกับวิญญาณแห่งยุคสมัย Read More »

ทฤษฎีไร้ระเบียบ

เมื่อโลกไร้ระเบียบ และ เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว

ที่มา : นิตยสาร Esquire May 2008 Text : Wilairat Photo : Suwat …   เรื่องมันมีอยู่ว่า บังเอิญมีคนเอา กล่องมาม่าใส่เงินจำนวนมากมาวางไว้หน้าห้องเลขที่ 66 ซึ่งบังเอิญว่า เลข 6 ตัวหลังหลุดห้อยลงมากลาย เป็นเลข 9    หญิงสาวในห้องเลขที่ 66ซึ่งบังเอิญว่าตกงานและไม่มีเงินเลยเอาเงินในกล่องนั้นมาเก็บไว้โดยหารู้ไม่ว่า กล่องมาม่านั้นบังเอิญเป็นกล่องเงินของแก๊งค์มิจฉาชีพ ต่อจากนันก็เกิดการตามล่าหากล่องเงินอย่างดุเดือดเลือดพล่าน จนมีคนตายเพราะเรื่องนี้หลายรายอย่างไม่น่าเชื่อ…     อีกเรื่องมันมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งพบว่ามีสุนัขของเพื่อนบ้านมาไล่กัดเป็ดในฟาร์มตัวเองจนเป็ดตายไปหลายตัว เลยบันดาลโทสะ คว้าปืนเดินตรงไปเอาเรื่องกับเจ้าของสุนัข แต่ตกลงกันไม่ได้ เลยเอาปืนยิงเจ้าของสุนัขจนตายตามเป็ดของตัวเองไป… เรื่องแรกจากภาพยนตร์เรื่อง “เรื่องตลก 69” โดยผู้กำกับฯ เป็นเอก รัตนเรือง    เรื่องที่สอง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2551     เรื่องจริงและแต่งทั้งสองเรื่อง ล้วนเกิดมาจากเรื่องเล็กๆ

เมื่อโลกไร้ระเบียบ และ เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว Read More »

ความฝันยามใกล้รุ่ง (dream scenario)

ความฝันยามใกล้รุ่ง ( Dream )

ความฝันยามใกล้รุ่ง (dream scenario)  วันหนึ่งในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2567 เราเดินทางกับอาจารย์ชัยวัฒน์ไปร่วมประชุมเรื่องการพัฒนาการท่องเที่ยวเกาะเพื่อความยั่งยืนที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่  ระหว่างนั่งพักสบาย ๆ ยามเช้า ทานอาหาร อาจารย์เล่าถึงความฝันช่วงหัวรุ่ง ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนหน้า https://youtu.be/hiZK4vrYfI4 อาจารย์ชัยวัฒน์เป็นนักฝัน … ฝันใฝ่สร้างสังคมที่ดีงาม  แต่ความฝันในยามหลับ (dream scenario) ของอาจารย์ชัยวัฒน์ ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยได้ยินจากอาจารย์  เราจึงฟังด้วยความตั้งใจ  ความฝันยามใกล้รุ่ง ของอาจารย์ทำเอาขนหัวลุก  ฝันลางบอกเหตุ หรือการอ่านแนวโน้ม  ไม่ว่าจะเป็นอะไร สิ่งที่เราว่าสำคัญและน่าสนใจ (ทำให้เราบันทึกคลิปนี้)    คือการวางใจ มุมมอง วิธีคิดของอาจารย์ที่มีต่อความฝันนั้น  เราว่ามันมีความหมายและเป็นประโยชน์  วิกฤตภัยธรรมชาติ ภัยสงคราม ไม่ใช่สิ่งที่เกินฝัน  มันรอปะทุอยู่เสมอ  วิกฤตภัยธรรมชาติ ภัยสงคราม ไม่ใช่สิ่งที่เกินฝัน  มันรอปะทุอยู่เสมอ  เราวางใจอย่างไรในห้วงวิกฤต  ศักยภาพอะไรที่จะพาเราฝ่าวิกฤต  ในวิกฤตมีโอกาสอะไร และเราจะใช้มันอย่างไร  ลองฟังคลิปสนทนากับอาจารย์ชัยวัฒน์เรื่องความฝันยามใกล้รุ่ง เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ชัยวัฒน์  เรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ 

ความฝันยามใกล้รุ่ง ( Dream ) Read More »

การถอดบทเรียน : ศิลปะแห่งการเก็บเกี่ยว

การถอดบทเรียน : ศิลปะแห่งการเก็บเกี่ยว

อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ มักกล่าวเสมอว่า หลังจากที่เราทำงานแล้ว เราเคยสรุปบทเรียนและเรียนรู้จากปฏิบัติการของเราหรือไม่ อย่างไร เราเรียนรู้อะไรจากการงานบ้าง (ที่เราหว่านลงไปแล้ว)  เคิร์ท ตูชอลสกี้ (Kurt Tucholsky) นักหนังสือพิมพ์และนักเขียนเยอรมัน เชื้อสายยิว เคยกล่าวว่า “ประสบการณ์นะเหรอ…ไม่เห็นมีอะไร บางคนทำผิดซ้ำซากเป็น 20 ปี”  ทำไมต้องมี การถอดบทเรียน : ศิลปะแห่งการเก็บเกี่ยว   คนมีประสบการณ์มากมายอาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไร ทำเรื่องเดิม ความผิดเดิมๆ ซ้ำซาก ดูตัวอย่างชาวนาไทย ที่ไม่อยากให้ลูกเป็นชาวนา เพราะตนเองอยู่กับความเจ็บปวด ยากจน ทุกข์มายาวนาน แต่ก็ยังอยู่กับทุกข์ที่เดิม แม้จะมีประสบการณ์ความทุกข์มายาวนานเป็นสิบๆ ปีก็ตาม เพราะเหตุใด ?    .. แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ส่วนมากก็เป็นเรื่องที่ชาวนาไม่ให้เวลาครุ่นคิดใคร่ครวญ ตั้งคำถามเพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตน ประสบการณ์จึงไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าไม่เรียนรู้  อาจารย์ชัยวัฒน์ย้ำ “เราไม่ได้เรียนจากประสบการณ์ แต่เรียนจากสมรรถนะในการมีประสบการณ์” เป็นคำพูดที่มี ผู้อ้างว่า มาจากพระพุทธองค์ (ภาษาอังกฤษใช้ว่า “We do

การถอดบทเรียน : ศิลปะแห่งการเก็บเกี่ยว Read More »

พระพุทธทาส

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ : สืบทอดปณิธานท่านพุทธทาส(จบ)

คัดจาก www.matichon.co.th. / บทความพิเศษ โดย ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ พระพุทธทาส กับ ทฤษฎีไร้ระเบียบ (ตอนจบ) เมื่อเราได้เดินทางสืบค้นภูมิปัญญาของท่าน ” พระพุทธทาส ” มาจนถึงบทนี้ เราจะพบว่า ท่าน พุทธทาส มี “อินทรีย์พิเศษ” ที่ทำให้ท่านมองได้อย่างแหลมคมและลึกซึ้งกว่าคนธรรมดาหลายสิบปี เนื่องจากท่านเดินบนเส้นทาง “พุทธมรรควิถี” อย่างแท้จริง ทำให้ท่านไม่จำเป็นจะต้องยึดมั่นถือมั่นดังที่ท่านได้บรรยายในหัวข้อ “หลุดพ้นเสียจากความหลุดพ้น” เมื่อท่านไม่ยึดติดกับเปลือกท่านจึงพลิกแพลงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในการที่จะสื่อสารให้คนธรรมดาสามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางของผู้ตื่น ผู้รู้ และผู้เบิกบานได้ ท่านจึงสามารถนำความรู้ทางวิทยาศาตร์ นำเรื่องจิตวิเคราะห์ของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) หรืออัลเฟรด อาดเลอร์ (Alfred Adler) มา ทดลองใช้ในการสอนธรรมะได้ ท่าน พระพุทธทาส ยังคงให้ความสนใจเรื่องศิลปะและใช้งานศิลป์เป็นเครื่องมือในการแสดงธรรม ดังตัวอย่างที่ท่านได้บรรยายในหัวข้อ “ศิลปะสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลก” และได้สร้างโรงมหรสพทางวิญญาณขึ้นดังข้อความบางตอนที่ท่านได้เขียนจดหมายถึงสหายธรรมทาน “…อนึ่ง ขอวิงวอนผู้สนใจในการประกาศธรรมจงได้ร่วมมือกันสร้าง “โรงหนัง” แบบนี้ในลักษณะ ที่เหมาะแก่ท้องถิ่นของตัวกันขึ้นให้ทั่วหัวระแหงด้วยเถิด จะเป็น moral rearmament

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ : สืบทอดปณิธานท่านพุทธทาส(จบ) Read More »

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 5 : พุทธทาสกับโลกที่กำลังจะเลี้ยวกลับ

พุทธทาสกับโลกที่กำลังจะเลี้ยวกลับ   เมื่อไม่นานมานี้ มีนักเขียนหนุ่มชาวอินเดีย ชื่อ ซาอิด ฮัสซัน (Zaid Hassan) ได้เขียนบทความชิ้นหนึ่ง ชื่อ “อักษรยู : ภาษาแห่งการฟื้นฟูพลัง” (The U : Language of Regeneration)  เขาพูดถึงความจำเป็นที่มนุษย์ในปัจจุบันต้องสนใจฝึกฝนตนเองให้มีวิธีมอง “แบบใหม่” เพื่อทำให้มีสายตาที่แหลมคม (insight) “วิธีมองแบบใหม่” นี้เป็นสิ่งที่ผู้รู้หรือนักปราชญ์ในอดีตสามารถทำได้เป็นกิจวัตร  ซาอิดบรรยายถึงความสำคัญในการใช้ทักษะนี้พินิจพิจารณาโลก เพราะโลกวันนี้มันเปลี่ยนแปลงพลิกผันเร็วจี๋อย่างไม่มีใครคาดเดาได้ เปรียบเสมือนว่าเรากำลังเผชิญสัตว์ร้ายที่คาดเดาอารมณ์มันไม่ถูก เมื่อเราเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวนี้ เราก็ต้องรับมือกับมันให้ได้ อุปมาอุปไมยที่ซาอิดยกขึ้นมาใน พ.ศ. 2548 นั้น ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวเอาไว้เมื่อหลายสิบปีมาแล้วว่า เราต้องระวัง “เขี้ยวของโลก” อย่าให้เขี้ยวของโลกมาขบกัดเราได้ เราต้องทำตัวเสมือนลิ้นงูที่อยู่ได้ในปากงูโดยไม่ถูกเขี้ยวงูทำร้าย ชีวิตประจำวันของเราคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯหรือหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงล้วนมีโอกาสถูก “เขี้ยว” ของโลกขบกัดได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันตรายฉับพลันจากธรรมชาติ จากอาชญากรรม จากโรคระบาด จากอุบัติภัย ทุพภิกขภัย และภัยจากโรคระบาด หรือโอกาสของการพลิกผันของสถานการณ์ธุรกิจและการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ในระยะสิบปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการล้มระเนนระนาดของเผด็จการในประเทศต่างๆ เช่น ในอดีตประเทศที่เคยอยู่กับสหภาพโซเวียตมาก่อน  

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 5 : พุทธทาสกับโลกที่กำลังจะเลี้ยวกลับ Read More »

พระพุทธทาส

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 4 : “พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ

จากการได้ติดตามอ่านสิ่งที่ท่านพุทธทาสได้กล่าวเตือนเรื่องโลกที่กำลังอันตรายจากการโยกโคลงและหมุนเร็วจี๋เกินขอบเขต ทำให้ผมอดถามตนเองไม่ได้ว่าท่านพุทธทาสสามารถมองเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เร็วกว่านักวิชาการตะวันตกถึง 30-40 ปีได้อย่างไร ? ท่านใช้หลักอะไร และวิธีการอะไร ในการมองทะลุ (insight) ทั้งๆ ที่สมัยนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ คำว่าโลกาภิวัตน์ยังไม่ได้บัญญัติ แต่ท่านบอกว่าโลกกำลังอยู่ใน turmoil ท่านก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่าอันตรายใหญ่หลวงน่ากลัวต่อมนุษยชาติได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านเตือนเรื่องการอยู่อย่างเท่าทันโลก ไม่ให้ถูก “เขี้ยวของโลก” ขบกัดได้ เสมือนลิ้นงูที่อยู่ในปากงูแต่ไม่ถูกเขี้ยวงูขบกัด ถ้าจะเปรียบกับทฤษฎีไร้ระเบียบ ท่านพุทธทาสมีความเข้าใจลึกซึ้งต่อระบบที่ห่างไกลจากจุดสมดุล (system far from equilibrium) ท่านรู้กฎของวิทยาศาสตร์แห่งความอนิจจัง (science of becoming) เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อท่านจับการเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขเบื้องต้น (initial condition) และเห็นการเชื่อมโยงป้อนกลับของปัจจัยต่างๆ ที่กระทำต่อกันและกัน ท่านจึงรู้เรื่อง “ผลกระทบผีเสื้อ” (butterfly effect) ที่เหตุเล็กๆ สามารถสร้างผลสะเทือนใหญ่ได้ พูดง่ายๆ ท่านเข้าใจแก่นแท้ของศาสตร์แห่งความไร้ระเบียบอย่างดียิ่ง โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องพูดตัวทฤษฎี ปริศนาที่ผมถามตัวผมเอง และพยายามค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ผมพอสรุปเป็นข้อมูลสมมติฐานว่าอัจฉริยภาพของท่านพุทธทาสในการเข้าใจแก่นของทฤษฎีไร้ระเบียบน่าจะมาจากการที่หลักการการคิดและวิธีการแสวงหาปัญญา ดังนี้ ข้อที่หนึ่ง ว่าด้วยหลักอิทัปปจยตา อันเป็นกฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องการพึ่งพิงอิงกันของปัจจัยต่างๆ ที่เชื่อมโยงกระทบถึงกันและกันหมด

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 4 : “พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ Read More »

พระพุทธทาส

” พระพุทธทาส ” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 3 : โลกไร้ระเบียบในทรรศนะของท่านพุทธทาสพุทธทาส

ในหนังสือชื่อ “บันทึกนึกได้เอง” ที่ นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช ได้จัดพิมพ์ขึ้นด้วยการถ่ายสำเนาลายมือท่าน พระพุทธทาส ที่บันทึกไว้ในหนังสือไดอะรี่ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2495 ท่านได้เขียนว่า “ครั้นบัดนี้โลกโคลง เร่าร้อนอย่างยิ่ง จนเราต้องเตรียมใจกันใหม่เพื่อรับหน้า” ต่อมาวันที่ 16 เมษายน ท่านได้ตั้งคำถามว่า “โลกต้องการอะไรบ้าง เพื่อลดความเร่าร้อนรุนแรงให้เย็นลง” ซึ่งท่านได้วงเล็บภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย to cool the present turmoil ในปีเดียวกันอีกนั่นเอง ท่านบันทึกไว้ในสมุดที่เป็นหน้าของวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2495 ท่านเขียนตัวโตไว้กลางกระดาษเพื่อย้ำความสำคัญเป็นอักษรพาดหัวใหญ่ว่า “โลกหมุนเร็วขึ้นทุกที ?” แล้วเสริมรายละเอียดข้อสังเกตด้วยลายมือของท่านเองดังนี้ “นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะทาง physics ย่อมไม่เชื่อและเห็นด้วย แต่สำหรับนักธุรกิจ นักรัฐศาสตร์ หรือนักการเมือง และอื่นๆ อีกเป็นอันมากย่อมมองเห็นชัด และเชื่อว่าโลกหมุน “จี๋” ยิ่งขึ้นทุกที และจะหมุนเร็วขึ้นอีกจนละลายไป เพราะการหมุนเร็วเกินขอบขีดนั้นก็ได้” นี่เป็นข้อห่วงใยที่ท่านพุทธทาสมีต่อโลกและมนุษยชาติ สิ่งที่ท่านได้เขียนเอาไว้และกล่าวไว้ในหลายๆ ที่ในเวลาต่อมา ไม่ได้ต่างไปจากช่วงเวลานั้นเลย

” พระพุทธทาส ” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 3 : โลกไร้ระเบียบในทรรศนะของท่านพุทธทาสพุทธทาส Read More »

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 2. : ว่าด้วยหลักคิดของทฤษฎีไร้ระเบียบในมุมของวิทยาศาสตร์

คัดจาก www.matichon.co.th. : บทความพิเศษ โดย ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ “ความไร้ระเบียบ” ในความหมายทางวิทยาศาสตร์ คือ สภาพและกระบวนการของระบบที่ไร้เสถียรภาพ (unstable) อันมีความอ่อนไหวสูงยิ่งและเปราะบาง เมื่อมีการกระทบเพียงเล็กน้อยในสาเหตุเบื้องต้น (initial condition) แต่เมื่อเกิดบ่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุเล็กๆ เพียงเบื้องต้นทำให้เกิดพัฒนาของระบบที่ดำเนินไปอย่างไม่เป็นเส้นตรง เป็นเส้นทางคดเคี้ยว กวัดแกว่ง บางครั้งถึงก้าวกระโดดฉับพลัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงทำนายให้ถูกต้องแม่นยำได้ยาก   ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับแนวคิดหลักที่เชื่อถือกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่สามารถคำนวณได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด ขอให้รู้สมมติฐานอันเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นให้ชัดเจน จริงๆ จะสามารถทำนายผลลัพธ์ออกมาได้อย่างแม่นยำ   ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นเราสามารถศึกษาได้จาก Edward Lorenz แห่งสถาบัน MIT  ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นเราสามารถศึกษาได้จาก Edward Lorenz แห่งสถาบัน MIT เมื่อกลางทศวรรษที่ 60  อาจารย์ด้านอุตุนิยมวิทยา (meteoro logy) ผู้นี้พยายามสร้างโมเดลการคำนวณในการพยากรณ์อากาศโดยใช้สมการง่ายๆ แสดงการ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับกระแสลม  เขาป้อนข้อมูลที่จุดทศนิยม 6 หลัก คือ 0.506127

“พุทธทาส” กับทฤษฎีไร้ระเบียบ 2. : ว่าด้วยหลักคิดของทฤษฎีไร้ระเบียบในมุมของวิทยาศาสตร์ Read More »